กลับมาเป็นประเด็นร้อนแรงอีกครั้งน่ะครับ หลังจากสินค้า OTOP จากประเทศไทย ที่ไม่สามารถจับต้องเป็นรูปธรรม ได้ล่องลอยอยู่ในอากาศ เสมือนว่าเป็นนโยบายขายฝัน จะสามารถสร้างมูลค่าที่กลับเข้าสู่ประเทศได้ โดยล่าสุดมีโครงการอยู่ 18 โครงการที่ผ่านการรับรองจากรัฐบาลไทย โดยที่ภายในนั้น 5 โครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสหประชาชาติแล้ว ซึ่งสามารถสร้างรายได้จากการขาย Carbon credit เป็นจำนวนถึง 672,288 ตันต่อปี มูลค่าถึง 500 กว่าล้านบาทต่อปี (คิดราคาขาย carbon credit ในเดือนมกราคม 2008 อยู่ที่ 17 ยูโร/ตันcarbon และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 44 บาทต่อยูโร) เจ้าของโครงการนั้นยิ้มแก้มปริเชียว ในบทความนี้ผมอยากจะบอกเล่าถึงเส้นทางความสำเร็จ อุปสรรคที่เกิดขึ้นให้ฟังกันน่ะครับ
คาร์บอนเครดิตเกิดจากกลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือซีดีเอ็ม (Clean development mechanism) เป็นสินค้าขององค์กรในประเทศกำลังพัฒนาที่เข้าร่วมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการตรวจวัดปริมาณก๊าซที่ลดได้ในแต่ละปีและเมื่อได้รับการรับรองจากคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาดของสหประชาติแล้ว จะได้รับใบรับรองคาร์บอนเครดิตของตน ซึ่งนำไปขายให้กับผู้ซื้อจากประเทศพัฒนาแล้วได้จนถึงปี 2012
2.ผลประโยชน์จากสิ่งที่จับต้องไม่ได้
กลุ่มบริษัทน้ำตาลมิตรผล ทุนโครงการซีดีเอ็มโดยก่อสร้างโรงไฟฟ้า 2 แห่ง มูลค่าลงทุนโรงละ 2 พันล้านบาท ได้แก่ โรงไฟฟ้าด่านข้างจังหวัดสุพรรณบุรี มีกำลังการผลิต 53 เมกะวัตต์และโรงไฟฟ้าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีกำลังการผลิต 35 เมกะวัตต์ โดยใช้กากอ้อยที่เหลือจากการผลิตน้ำตาลมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเมื่อคำนวณดูแล้ว โรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ปีละ 9.3 หมื่นตันคาร์บอน ฯ และ 1.02 แสนตันคาร์บอนฯ ตามลำดับ หากคิดปริมาณคาร์บอนเครดิตจาก 2 โครงการของกลุ่มมิตรผลที่จะทำได้เป็นปีละ 1.95 แสนตันคาร์บอนฯ เท่ากับกลุ่มมิตรผลจะมีรายได้จากธุรกิจนี้ถึงปีละ 3.31 ล้านยูโรหรือกว่า 145 ล้านบาท ตามลำดับ
ถึงแม้ว่าราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะมีการปรับตัวขึ้นลงได้ไม่ต่างจากราคาทุนหรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ แต่ผลตอบแทนที่ได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ก็เป็นแรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เอกชนไทยสนใจที่จะลงทุนในเทคโนโลยีที่จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น นอกเหนือไปจากผลตอบแทนที่ได้รับโดยตรงจากการลงทุนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการลงทุนแต่ละโครงการที่ต้องใช้เงินตั้งแต่หลักสิบล้านไปจนถึงหลายพันล้านบาททำให้เอกชนไทยหลายรายที่สนใจต้องล้มเลิกความตั้งใจหรือชะลอโครงการออกไปก่อนจนกระทั่งคาร์บอนเครดิตเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้น ทำให้มีองค์การและนักลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้วเข้ามาเสนอตัวเข้าร่วมในปลายรูปแบบ ตั้งแต่การร่วมลงทุน การสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วน ไปจนถึงการลงทุนให้ทั้งหมดเพื่อแลกกับคาร์บอนเครดิตที่จะเกิดขึ้น เช่น โครงการผลิตไฟฟ้าจากแกลบของบริษัท เอ.ที. ไบโอพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งมีบริษัท ชูบุ อีเลคทริค พาวเวอร์ คัมปะน อินเตอร์เนชั่นแนล บี.วี.จำกัด บริษัทในเครือ ของบริษัท ชู.บุ. อีเลคทริค พาวเวอร์ คัมปะนี อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้น 34 % รวมถึงโรงการผลิตพลังงานจากก๊าซชีวภาพของบริษัทแป้งตะวันออกเฉียงเหนือ (1987) จำกัด ที่ได้สถานฑูตเดนมาร์กออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ ให้
3.ข้อจำจัดของโอกาศทางธรุกิจ
เมื่อสินค้ามีอยู่แล้ว ผู้ขายและผู้ซื้อก็พร้อมแล้ว การขายคาร์บอนเครดิตของเอกชนไทยน่าจะสดใส แต่กระบวนการกลับต้องสะดุดเมื่อกลไกของภาครัฐไม่เอื้อเอาเสียเลยนั้นคือ
1. การที่เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ สหประชาชาติมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์บ่อยครั้งและบางครั้งทำให้โครงการที่เดินหน้าไปแล้วต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่
2. ขณะเดียวกันฝ่ายการเมืองและหน่วยงานภาครัฐของไทยมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมองว่าคาร์บอนเครดิตเป็นทรัพย์สินของประเทศ เอกชนไม่มีสิทธิ์ไปขายรวมทั้งยังมีความเข้าใจว่า ประเทศไทยไม่ควารขายคาร์บอนเครดิตจนหมด ควรเก็บเอาไว้บ้าง ส่วนสำหรับกรณีที่อาจต้องใช้ในอนาคต ซึ่งก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะพิธีสารเกียวโตจะมีผลถึงปี 2012 เท่านั้น และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าหลังจากนั้นกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปอย่างไร และคาร์บอนเครดิตในเวลานั้นจะยังมีค่าอยู่อีกหรือไม่
ระยะเวลาสิ้นสุดของข้อตกลงในพิธีสารเกียวโตกำลังงวดเข้ามาทุกขณะ ซึ่งอาจเป็นตัวเร่งให้เอชน ตัดสินใจทำโครงการด้านพลังงานเร็วขึ้น แต่สภาพเศรษฐกิจขณะนี้กลายเป็นเบรคที่ทำให้เกิดความละล้าละลังอยู่ เสหมือนกับว่านี่เป็นยุคตื่นตัวด้านพลังงาน แต่ตกต่ำภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศราคาน้ำมันแบบนี้ อาจยังไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนเช่นกัน
4.18 โครงการ ซีดีเอ็มที่ผ่านการรับรองจากรัฐบาลไทย รายการโครงการที่ได้รับรองจากรัฐบาลไทย | ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ต่อปี (ตัน) |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากแกลบ บ. เอ.ที ไบโอพาวเวอร์* | 70,772 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากกากอ้อยและใบอ้อย บ.ด่านช้าง ไบโอ-เอ็นเนอร์ยี* | 93,184 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากกากอ้อยและใบอ้อย บ.ภูเขียว ไบโอ-เอ็นเนอร์ยี* | 102,553 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากกากอ้อย บจม.น้ำตาลขอนแก่น ไบโอ-เอ็นเนอร์ยี* | 45,719 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ บ.โคราช เวสต์ ทู เอ็นเนอร์ยี่* | 315,000 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากเศษไม้ยางพารา บ. กัลฟ์ ยะลากรีน* | 60,000 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซที่ได้จากน้ำเสียฟาร์มสุกรของโครงการฟาร์มหมูราชบุรี | 100,380 |
โครงการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวมวล บ. สุราษฎร์ธานี กรีน เอ็นเนอร์ยี่ | 171,774 |
โครงการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวมวล บ. สุรินทร์ อิเล็กทริค | 12,584 |
โคงการผลิตพลังงานจากระบบบำบัดน้ำเสีย บ. สีมา อินเตอร์ โปรดักส์ (จ.นครราชสีมา) | 21,733 |
โครงการผลิตพลังงานจากระบบบำบัดน้ำเสียบ. สีมา อินเตอร์ โปรดักส์ (จ.ฉะเชิงเทรา) | 20,449 |
โครงการผลิตพลังงานจากก๊าซชีวภาพ บ. แป้งตะวันออกเฉียงเหนือ (1987) | 35,420 |
โครงการผลิตพลังงานจากก๊าซชีวภาพ บจม. ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม | 30,028 |
โครงการผลิตพลังงานจากก๊าซชีวภาพ บ. ปาล์มน้ำมันธรรมชาติ | 14,591 |
โครงการผลิตพลังงานจากก๊าซหลุมฝังกลบขยะ บ.เจริญสมพงษ์ | 99,139 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพโครงการฟาร์มหมูราชบุรี บ. เอส.พี.เอ็ม อาหารสัตว์ | 32,027 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพโครงการฟาร์มหมูราชบุรี บ.หนองบัวฟาร์ม แอนด์ คันทรีโฮมวิลเลจ | 31,441 |
โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพโครงการฟาร์มหมูราชบุรี บ. วี.ซี.เอฟ กรุ๊ป | 32,027 |
5. ลงทุนไป 250 ล้านบาท แต่สามารถคืนทุนได้ใน 1 ปี
ปริมาณคาร์บอนเครดิตราว 3.15 แสนตันคาร์บอน ฯ ต่อปีจากโครงการผลิตไฟ้ฟ้าจากก๊าซชีวภาพที่ได้จากน้ำเสียโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังของบริษัท โคราช เวสต์ ทู เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ทำให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ลดการปล่ยก๊าซเรือนกระจกได้สูง
บริษัท โคราช เวสต์ ทู เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ก่อตั้งขึ้นด้วยเงินลงทุน 250 ล้านบาท เป็นการลงทุนของบริษัท คลีน เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ คลีนไทยเพื่อนำน้ำเสียจากบริษัทสงวนวงษ์อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังรายใหญ่ของไทยมาผลิตก๊าซชีวภาพและไฟฟ้า และขายพลังงานที่ได้กลับให้สงวนวงษ์ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด 20 % โดยทำสัญญาแบบสร้าง เป็นเจ้าของและโอนให้ ระยะเวลา 10 ปี
โครงการนี้เดิมคาดว่าจะคืนทุนได้ใน 3 ปี ทว่าราคาน้ำมันเตาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนี้อยู่ที่ ประมาณ 15 บาท ต่อ ลิตรก๊าซในราคาถูกกว่าราคาน้ำมันเตา 20 % โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัญญายังมีการกำหนดเพดานราคาน้ำมันเตา เอาไว้ที่ลิตรละ 8.50 บาท แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันเตาพุ่งไปถึง 15 บาทต่อลิตร ยิ่งถือว่าสงวนวงษ์ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมากขึ้นไปอีก
ทางบริษัท ไทยคลีน เพิ่มมูลค่าให้งานนี้ก็คือ การใช้ผลตอบแทนจากการขายคาร์บอนเครดิตเป็นสิ่งจูงใจสถาบันการเงินและนักลงทุนสถาบันจากประเทศต่าง ๆ โดยหากรวมรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตแล้วจะทำให้อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4-5% มาเป็น 12-14% ซึ่งเพียงพอที่จะดึงความสนใจจากนักลงทุนต่างชาตอให้มาลงทุนในโครงการของโคราช เวสต์ ได้ในสัดส่วน 50% ส่วนอีก 50% เป็นเงินกู้จากบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ไอเอฟซีที ( ปัจจุบันควบรวบกับธนาคารทหารไทยแล้ว )
แม้มูลค่าคาร์บอนเครดิตในปัจจุบันจะสูงชนิดที่ว่าอาจจะทำให้โครงการอย่างโคราช เวสต์ สามารถคืนทุนได้ภายในปีเดียว แต่ทางบริษัทยืนยันว่าการขยายคาร์บอนเครดิตไม่ใช่ธุรกิจหลักของคลีนไทยแต่เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและไบโอก๊าซต่างหาก “การยึดมั่นแต่เรื่องซื้อขายคาร์บอนเครดิต เหมือนเอาชีวิตแขวนไว้กับความเสี่ยงอย่างยิ่ง อีกทั้งถือเป็นการเก็งกำไรมากกว่าจะยึดเป็นธุรกิจหลัก” ประธานบริษัทไทยคลีนกล่าว เนื่องจากราคาของคาร์บอนเครดิตไม่ใช่ว่าจะขยับขึ้นเสมอไป อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนและหากขายไม่ได้ก็ไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้
“ครั้งหนึ่งในยุโรปช่วงต้นปี 2006 ราคาของคาร์บอนเครดิตเคยร่วงจาก 30 เหรียญลงมาเหลือแค่ 1 เหรียญต่อตันในวันเดียวและอยู่อย่างนั้นนาน 15 เดือน” เกิดขึ้นหลังจากที่มีบทวิจัยออกมาว่า คนส่วนใหญ่คิดว่าคาร์บอนเครดิตจะขาดแคลนในปี 2007 หลังจากนั้นรัฐบาลของประเทศแถบยุโรปได้เปิดเผยข้อมูลเชิงสถิติที่แสดงว่าคาร์บอนเครดิตนั้นมีมากอย่างล้นเหลือในตลาดทำให้ราคาร่วงลงทันที ราคาที่สูงขึ้นมาจากความมั่นใจที่มีต่อโครงการหากโครงการยังไม่เริ่มก่อสร้าง และไม่รู้ว่าจะส่งมอบคาร์บอนเครดิตได้จริงหรือไม่ นักลงทุนก็ยังเห็นแต่ความเสี่ยงมากมาย อาจทำให้ราคาอยู่ที่ตันละ 6 เหรียญเท่านั้นก็เป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น